ศึกลอนดอนดาร์บี้แมตช์ จบไปอย่างสุดมัน และเป็น เชลซี ที่จัดการยัดเยียดความปราชัยให้กับ อาร์เซน่อล 2-1 ทีสนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยถือเป็นประสบการณ์เกมดาร์บี้แมตช์ที่น่าเศร้าสำหรับ มิเกล อาร์เตเต้า ในฐานะกุนซือ "เดอะ กันเนอร์ส"
เกมนี้ดูเหมือนว่า อาร์เตต้า จะมาดีเมื่อวางหมากจัดการ "สิงโตน้ำเงินคราม" ได้อยู่หมัดในช่วง 45 นาทีแรก พร้อมกับสกอร์ขึ้นนำ 1-0 อย่างไรก็ตามในครึ่งหลัง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ปรับหมากมาดีกว่า และไล่กดดันเจ้าบ้านอย่างหนัก จนกระทั่งมาเกิดจุดเปลี่ยนจากความผิดพลาดของ แบร์นด์ เลโน่ นายทวารเลือดด๊อยท์ช
ขณะเดียวกัน "แลมพ์ส" คงจะต้องกระตุ้นให้ลูกทีมรักษาฟอร์มคงเส้นคงวา เพราะหากทำผลงานแบบสามวันดีสี่วันไข้แบบนี้ โอกาสที่พวกเขาอาจจะทำแต้มหลุดมือจนส่งผลเสียหายกับการลุ้นติดท็อปโฟร์ ก็มีมากทีเดียว
1. ความผิดพลาด เลโน่ นำไปสู่หายนะ
แผนการเล่นของ มิเกล อาร์เตต้า ดูเหมือนว่าเกือบจะเพอร์เฟกต์อยู่แล้ว แต่มันก็ได้แค่ "เกือบ" เพราะสุดท้ายแล้วความผิดพลาดจากตัวผู้เล่นกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สร้างความเสียหายให้กับทีม และนำไปสู่การคว้าน้ำเหลวในเกมลอนดอนดาร์บี้ แมตช์
"เดอะ กันเนอร์ส" ได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 13 จาก ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง โดยหลังจากนั้นเจ้าบ้านก็สามารถรับมือกับเกมบุกของคู่อริร่วมกรุงลอนดอนได้อย่างยอดเยี่ยม จนทำให้ทีมของกุนซือแฟร้งค์ แลมพาร์ด ไม่สามารถเจาะเข้าไปทำประตูได้เลย
สถานการณ์ทุกอย่างยังคงอยู่ในกำมือของ อาร์เซน่อล จนกระทั่งช่วง 10 นาทีสุดท้ายเมื่อ เชลซี ได้ลูกฟรีคิกและพวกเขาเปิดบอลยาวลึกเข้ามาซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรงของ แบร์นด์ เลโน่ แต่กลายเป็นนายด่านชาวเยอรมัน ดันออกมาชกบอลพลาดทำให้ จอร์จินโญ่ ที่เติมมาเสาไกลได้ยิงแบบสบายๆ เข้าไป
นั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนที่เสียหายอย่างมากสำหรับ อาร์เซน่อล เพราะมันส่งผลต่อความมั่นใจในเกมรับและในช่วงอีกไม่กี่นาที พวกเขาก็โดนทีเด็ดของ แทมมี่ อับราฮัม ที่ซัดระยะเผาขนบอลลอดขา เลโน่ เข้าประตูไป
2. จอร์จินโญ่ รอดใบแดง
จริงๆ แล้วเกมนี้อาจจะจบลงด้วยผลการแข่งขันที่แตกต่างออกมา เนื่องจากมีหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมที่ทำให้ เชลซี รอดพ้นจากสถานการณ์ที่เสียเปรียบ และจังหวะดังกล่าวยังต่อยอดนำไปสู่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ "สิงโตน้ำเงินคราม" คว้าชัยชนะด้วย
จอร์จินโญ่ คือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้ เชลซี ปราบคู่อริร่วมเมืองหลวงผู้ดี โดยเขาคือคนที่ยิงประตูตีเสมอจากจังหวะผิดพลาดของ แบรนด์ เลโน่ อย่างไรก็ตามจังหวะดังกล่าวอาจจะไม่เกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวมีโอกาสที่จะโดนไล่ออกจากสนามมาแล้ว
เริ่มกันที่จังหวะแรกเกิดขึ้นในนาทีที่ 55 เมื่อ ดาวเตะทีมชาติอิตาลี ทั้งดึงทั้งเตะ อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ แต่ เคร็ก พาวสัน กรรมการในเกมนี้ยังใจดีไม่ให้อะไร จนกระทั่ง จอร์จินโญ่ มาทำฟาวล์น่าเกลียดในจังหวะเจตนาดึง มัตเตโอ เกนดูซี่ โดยท่านเปาให้แค่ใบเหลือง เท่านั้น
การตัดสินใจของ พาวสัน ส่งผลอย่างมากต่อ อาร์เซน่อล เพราะหลังจากนั้นในช่วงนาทีที่ 83 จอร์จินโญ่ คือคนที่ยิงประตูตีเสมอให้กับ เชลซี ลองคิดดูก็แล้วกันว่าหากเจ้าตัวถูกไล่ออกไปก่อนหน้านี้ สถานการณ์ของ "ไอ้ปืนใหญ่" อาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็นในตอนนี้ก็ตาม
3. อาร์เซน่อล ขาดความเฉียบคม
"เดอะ กันเนอร์ส" ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในช่วง 45 นาทีแรก อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถจบสกอร์ได้อย่างเด็ดจากจังหวะของ อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ และ รีสส์ เนลเซ่น ที่พลาดโอกาสหลายครั้งหลายหนในการเพิ่มสกอร์ ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องเสียหายพอสมควร
ขณะเดียวกันในครึ่งหลังนักเตะเจ้าบ้านดูเหมือนจะสูญเสียพละกำลัง และสมาธิ ในขณะที่ เชลซี เริ่มจับทางได้ และหาพื้นที่ว่างในการกดดันคู่ต่อกรร่วมกรุงลอนดอนได้อย่างต่อเนื่อง โดยนี่เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถกดดัน "ไอ้ปืนใหญ่" จนทำเรื่องผิดพลาดหลายครั้ง
หลังจบเกมสถิติในการผ่านบอลแม่นยำของ อาร์เซน่อล อยู่ที่ 79 เปอร์เซ็นต์น้อยกว่า เชลซี ที่ส่งบอลได้แม่นยำ 83 เปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกัน ทีมของกุนซือมิเกล อาร์เตต้า ยังครอบเกมได้เพียงแค่ 42 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น โดยเฉพาะในครึ่งหลังทีมของแฟร้งค์ แลมพาร์ด แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเหนือกว่า และมีจังหวะหวาดเสียวบ่อยๆ
4. เชลซี สามวันดีสี่วันไข้
ก่อนหน้านี้ เชลซี ต้องปะทะกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในเกมลอนดอนดาร์บี้แมตช์เช่นกัน และพวกเขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดด้วยการปราบ "ไก่เดือยทอง" ที่มีกุนซือระดับเขี้ยวลากดินอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ กุมบังเหียน ซึ่งฟอร์มในวันนั้น "สิงห์บลูส์" เล่นได้อย่างสุดยอดเกินห้ามใจจริงๆ
แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ทำให้แฟนบอลต้องกุมขมับเมื่อดันเปิดรังสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดน "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน บุกมายัดเยียดความปราชัยด้วยสกอร์ 0-2 งานนี้ทำเอาหลายคนเริ่มสงสัยแล้วว่าในแมตช์เยือนเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ทีมของแฟร้งค์ แลมพาร์ด จะทำผลงานออกมาแบบไหน
ในตอนแรกหลายคนรู้สึกว่า "สิงโตน้ำเงินคราม" อาจจะต้องพบกับความผิดหวังในการปะทะกับคู่อริร่วมเมือง แต่ยังดีที่ช่วง 10 นาทีสุดท้ายพวกเขามาได้สองประตูทองทำให้สามารถเก็บ 3 คะแนนกลับบ้านได้อย่างมีความสุข แต่กระนั้นชัยชนะในแมตช์นี้ก็ยังคงทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า พวกเขาจะทำผลงานออกมายังไงในแมตช์ต่อไป
ทั้งนี้ เชลซี กำลังทำผลงานคล้ายๆ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ซึ่งพวกเขายังหาความคงเส้นคงวาในการเล่นไม่ค่อยได้ แต่สิ่งดีๆ สิ่งเดียวของ "สิงห์บลูส์" ก็คือทีมจะได้เข้าสู่ปี 2020 ในอันดับท็อปโฟร์แต่กระนั้นพวกเขาต้องมีพัฒนาหลายๆ อย่าง ไม่งั้นอาจจะโดนแย่งอันดับไปก็ได้
5. วิลเลียน จอมทัพคนใหม่ "สิงห์บลูส์"
นับตั้งแต่ที่ทีมขาด เอแด็น อาซาร์ สตาร์ชาวเบลเยียม ทำให้พวกเขาไม่มีผู้เล่นที่จะสวมบทเพลย์เมกเกอร์ หรือนักเตะหมายเลข 10 เลย อย่างไรก็ตามตอนนี้ดูเหมือนว่า วิลเลียน จะค่อยๆ พัฒนาศักยภาพของเขาขึ้นมาทำหน้าที่เป็นจอมทัพให้กับทีมชุดนี้ได้
ดาวเตะเลือดบราซิเลียน เป็นหนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในยุคที่ แลมพาร์ค กุมบังเหียนและเขาก็ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมลอนดอนดาร์บี้แมตช์ ขณะเดียวกันในเกมก่อนหน้านี้กับ สเปอร์ส แข้งแซมบ้า ก็ช่วยให้ทีมจัดการอัด สเปอร์ส (ซัด 2 ประตู) ได้อย่างสุดยอดมาแล้ว
สำหรับแมตช์กับ อาร์เซน่อล แม้ว่า วิลเลียน จะไม่มีชื่อในฐานะคนทำประตูก็ตาม แต่เขาก็มีส่วนต้องการทำหน้าที่สร้างสรรค์เกมในแดนกลาง และเป็นคนที่แอสซิสต์ให้ แทมมี่ อับราฮัม ซัดประตูชัยในช่วง 3 นาทีสุดท้าย ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงสมควรได้รับเลือกเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์
ฉะนั้นในช่วงปี 2020 วิลเลียน จะเป็นนักเตะสำคัญของทีมสำหรับเกมที่เหลืออยู่ของฤดูกาลนี้ เพื่อที่จะนำ เชลซี ทำอันดับให้ดีที่สุดโดยเฉพาะการติดท็อปโฟร์