ลิเวอร์พูล ยังคงเดินหน้าเก็บชัยชนะอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเฉือน วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ สุดมัน 1-0 ที่สนามแอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้พวกเขารั้งตำแหน่งจ่าฝูงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับทิ้งห่าง เลสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่อไป
สำหรับเกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เลือกเปลี่ยนผู้เล่นเพียงแค่คนเดียวก็คือการส่ง อดัม ลัลลาล่า ลงตัวจริง แทน นาบี เกอิต้า ขณะที่ วูล์ฟส์ ทำเอาแฟนบอลอึ้งเมื่อพวกเขาดร็อป 3 แข้งกำลังสำคัญในแมตช์ที่พลิกนรกคว่ำ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้
แมตช์นี้นอกจากชัยชนะของ "เดอะ เร้ดส์" แล้ว ประเด็นที่ทำให้หลายคนพูดถึงก็คงหนีไม่พ้นการใช้ระบบ "วีเออาร์" เพราะส่งผลต่อผลการแข่งขันมากๆ ในหลายๆ เกม โดยเฉพาะในเกมนี้ที่ "วีเออาร์" สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
1. โกเมซ ยิ่งเล่นยิ่งเด่น
เนื่องจาก โฌแอล มาติป และ เดยัน ลอฟเรน ยังต้องพักฟื้นร่างกายต่อเนื่อง ทำให้ โจ โกเมซ ต้องลงทำหน้าที่จับคู่เซนเตอร์แบ็กกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะเล่นเข้าขากันได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะในการรับมือ วูล์ฟแฮมป์ตัน ดูเหมือน โกเมซ จะทำผลงานได้โดดเด่นกล่าว แนวรับชาวดัตช์ ซะด้วย
สิ่งที่โดดเด่นสำหรับผลงานของ โกเมซ ก็คือเขาได้ลงเล่นตัวจริงในเกมลีก 4 แมตช์ติดต่อกัน โดยทำหน้าที่เป็นเซนเตอร์แบ็กร่วมกับ ฟาน ไดค์ 3 เกม (เกมกับ บอร์นมันธ ลงเล่นตำแหน่งแบ็กขวา) ทั้งสองคนช่วยขันน็อตเกมรับของ "หงส์แดง" แน่นปึ้ก เพราะทั้ง 4 แมตช์ทีมเก็บคลีนชีตได้เรียบวุธ
จริงๆ แล้วเกมนี้ ฟาน ไดค์ มีส่วนในการได้ประตูแรกเมื่อเป็นคนโยนบอลยาวให้ อดัม ลัลลาล่า ใช้หัวไหล่แตะบอลให้ ซาดิโอ มาเน่ ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย แต่กระนั้นเจ้าตัวก็มีหลายจังหวะที่เล่นผิดพลาด โดยเฉพาะการโดนผู้เล่น "หมาป่า" แย่งบอลบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ แต่เดชะบุญที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ป้องกันเอาไว้ได้ ไม่งั้นทีมเสียหายหลายแสน
ขณะที่ โกเมซ ต้องบอกเลยว่าเกมนี้เจ้าตัวเล่นผิดพลาดน้อยมาก และช่วยจัดการเกมรุกของ วูล์ฟส์ ได้ดีเยี่ยม แม้อาจจะมีบางจังหวะที่โดนกดดัน แต่เขาก็ยังไม่ทำผิดพลาดจนส่งผลต่อความเสียหายของทีม ฉะนั้นตอนนี้ดูเหมือน คล็อปป์ จะแฮปปี้มากๆ กับคู่หูเกมรับสองคนนี้
สำหรับตอนนี้ ลอฟเรน และ มาติป ที่กำลังพยายามเรียกความฟิตเพื่อโอกาสกลับมาลงเล่นให้กับทีม คงต้องเจอกับสถานการณ์ยากลำบากในการเบียดแย่งตัวจริงๆ เพราะหาก โกเมซ ยังเล่นได้ดี ช่วยทีมไม่เสียประตูได้อย่างต่อเนื่องแบบนี้ คงยากที่จะหาเหตุผลทำให้ คล็อปป์ ดร็อปเขาแน่นอน
2. ได้เวลาโรเตชั่น (หรือยัง)
แมตช์นี้หากใครเป็นสาวก "เดอะ ค็อป" ต้องยอมรับเลยว่า ลิเวอร์พูล มีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงในบางจังหวะ โดยเฉพาะช่วงท้ายเกม เนื่องจากนักเตะชุดนี้ส่วนใหญ่กรำศึกหนักมาตลอด โดย คล็อปป์ เปลี่ยนแค่ตำแหน่งเดียวก็คือการส่ง ลัลลาน่า ลงมาเล่นตัวจริงแทน นาบี เกอิต้า เท่านั้น
สำหรับแมตช์ต่อไป "หงส์แดง" มีคิวรับมือ "ดาบคู่" เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่สนามแอนฟิลด์ วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคมนี้ และมีความเป็นไปได้ว่า คล็อปป์ อาจจะยังคงยึดผู้เล่นตัวหลักที่ลงสนาม 2 เกมที่ผ่านมา เนื่องจากเกมนี้มีความสำคัญพอสมควร เพราะหากพวกเขายังเดินหน้าเก็บ 3 คะแนนได้ต่อไป จะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทวีคูณ
อีกอย่างหนึ่งหลังจบเกมกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมมีคิวทำศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ดวล เอฟเวอร์ตัน ที่สนามแอนฟิลด์ ในเกมเอฟเอ คัพ วันอาทิตย์ที่ 5 ม.ค.นี้ ซึ่งแมตช์นี้มีความเป็นได้สูงมากที่ คล็อปป์ จะเลือกพักผู้เล่นตัวหลัก และส่งนักเตะอย่าง เจมส์ มิลเนอร์, ดิว็อค โอริกี้ และ เซอร์ดาน ชากีร่า ลงสนาม
รวมไปถึงการให้โอกาส อาเดรียน, คี-ยาน่า ฮูเฟอร์, เนโก วิลเลี่ยมส์, เคอร์ติส โจนส์, ฮาร์วี่ย์ เอลเล็ตต์ และผู้เล่นที่สาวก "เดอะ ค็อป" อยากเห็นฝีเท้ามากๆ นั่นก็คือ ทาคุมิ มินามิโนะ ดาวเตะชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นแข้งใหม่แกะกล่องที่จะมาร่วมทีมในวันแรกของปีใหม่
สำหรับกรณีการโรเตชั่นนักเตะในเกมเอฟเอ คัพ ค่อนข้างมีสูงมาก เพราะหลังจากแมตช์กับ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" นั้น "เดอะ เร้ดส์" มีโปรแกรมสุดหินในเกมลีกทั้งเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และรับมือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฉะนั้นทั้ง 2 แมตช์ คล็อปป์ ต้องการให้ลูกทีมตัวหลักมีสภาพร่างกายสด และฟิตที่สุด
3. ดราม่า วีเออาร์
สโมสรลิเวอร์พูล ภาษอังกฤษเขียนแบบนี้ "Liverpool" แต่เกมกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน มีประเด็นดราม่าเรื่องระบบเทคโนโลยีผู้ช่วยตัดสิน หรือ "วีเออาร์" (VAR) ทำให้ฝรั่งเล่นคำว่า "LiVARpool" ซึ่งทำให้แมตช์นี้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักเกี่ยวกับระบบนี้
จังหวะที่เกิดประตูในช่วงท้ายครึ่งแรกทั้ง 2 ลูกมีผลออกมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยในส่วนของ ลิเวอร์พูล พวกเขาได้ประตูขึ้นนำจากการยิงของ ซาดิโอ มาเน่ แม้ว่าตอนแรก แอนโธนี่ เทย์เลอร์ ผู้ตัดสินจะเป่าให้เป็นแฮนด์บอลของ อดัม ลัลลาน่า แต่เมื่อมีการเช็คกับทีม "วีเออาร์" แล้ว ภาพระบุชัดเจนว่าบอลไปโดนหัวไหล่ของ ดาวเตะเลือดผู้ดี ทำให้ท่านเปากลับคำตัดสินให้เป็นประตู
สวนทางกับกรณีของ วูล์ฟส์ เมื่อพวกเขาซัดประตูตีเสมอช่วงทดเจ็บครึ่งแรกจาก เนโต้ อย่างไรก็ตามทีมงาน "วีเออาร์" เช็คภาพแล้วระบุให้เห็นว่าจังหวะที่ ชูเอา มูตินโญ่ แทงบอลขึ้นหน้าให้ จอนนี่ กาสโตร หลุดไปนั้นมีการล้ำหน้าเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด และส่งผลให้ทีมเยือนโดนริบประตูตีเสมอไปอย่างน่าเจ็บปวด
กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ลิเวอร์พูล จะเป็นทีมที่ได้ประโยชน์จาก "วีเออาร์" เสมอไป เพราะในแมตช์ที่ปะทะกับ แอสตัน วิลล่า นั้น โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ก็เคยโดนริบประตูจากการที่รักแร้ของเขาล้ำหน้ามาแล้ว อย่างไรก็ตามในเวลานี้เพิ่มมีการถกเถียงเกี่ยวกับกฎการล้ำหน้าอีกครั้ง และอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในฤดูกาลหน้า
4. ครึ่งทางกับตำแหน่งจ่าฝูง
สำหรับตอนนี้ ลิเวอร์พูล ลงเล่นไปแล้ว 19 เกมในพรีเมียร์ลีก (น้อยกว่าทีมอื่นๆ 1 แมตช์) พวกเขาเก็บแต้มไปแล้ว 55 คะแนน รั้งตำแหน่งจ่าฝูงอย่างเหนียวแน่น พร้อมกับสถิติคว้าชัยชะ 18 แมตช์ เสมอ 1 นัด และยังสะกดคำว่าแพ้ในเกมลีกไม่เป็นในฤดูกาลนี้
ยิ่งไปกว่านั้นการคว้า 3 คะแนนในแมตช์ปะทะ วูล์ฟส์ ส่งให้พวกเขามีแต้มทิ้งห่าง "สุนัขจิ้งจอก" เลสเตอร์ ซิตี้ 13 คะแนน และ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับ 3 ถึง 14 แต้ม โดยผลงานแบบนี้ถือเป็นของขวัญชิ้นโบว์แดงสำหรับสาวก "เดอะ ค็อป" ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
นอกจากนี้การที่ คล็อปป์ นำ "เดอะ เร้ดส์" ชนะในถิ่นแอนฟิลด์ แมตช์ล่าสุด ทำให้พวกเขามีสถิติไม่แพ้ทีมใดในบ้านกับการเล่นเกมลีกสูงสุดประเทศอังกฤษ ติดต่อกัน 50 แมตช์ แบ่งเป็นชนะ 40 เกม และเสมอ 10 เกม แถมยังไม่แพ้ใครในลีก 36 เกม (รวมฤดูกาลที่ผ่านมา) เข้าไปแล้ว
ทั้งนี้ ลิเวอร์พูล มีโอกาสที่จะเพิ่มสถิติเมื่อมีคิวรับมือ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด แต่งานนี้ คล็อปป์ คงไม่ได้เน้นเกี่ยวกับการสร้างสถิติจนทำให้ทีมเสียสมาธิ เพราะสิ่งสำคัญคือการคว้า 3 คะแนน สำหรับสถิติถือเป็นโบนัสเท่านั้น
5. วูล์ฟส์โรเตชั่นพลาด
นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ กุนซือเครางาม ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงผู้เล่นที่ทำให้สาวก "หมาป่า" และแฟนบอลเฉพาะกิจ ต้องงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อเลือกที่จะดร็อป อดาม่า ตราโอเร่, ราอูล ฮิเมเนซ และ แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ ทั้งๆ ที่ 3 คนนี้คือแข้งที่จัดการจม "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แท้ๆ
แน่นอนว่าอาจเป็นเพราะ นายใหญ่ชาวโปรตุกีส มองว่าโปรแกรมที่ค่อนข้างเตะกันถี่ยิบอาจจะส่งผลต่อสภาพร่างกายของลูกทีม จึงเลือกที่จะหันมาเล่นแบบนี้ แต่การขาด ตราโอเร่ และ ฮิเมเนซ ทำให้แนวรับ ลิเวอร์พูล ไม่ค่อยเจอกับแรงกดดันมากนัก
ที่พูดแบบนั้นเพราะเมื่อ "หมาป่า" ส่ง ตราโอเร่ และ ฮิเมเนซ ลงสนามในครึ่งหลัง เห็นได้ชัดเลยว่าแนวรับของ ลิเวอร์พูล ต้องเจอกับงานสุดหินในการไล่บี้พวกเขา โดยเฉพาะในรายของ ตราโอเร่ ที่มีความทั้งใหญ่ และความเร็ว สามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับ ฟาน ไดค์ ได้ตลอด
ฉะนั้นต้องยอมรับว่าการโรเตชั่นของ ซานโต้ ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ วูล์ฟแฮมป์ตัน ต้องพ่ายแพ้ในเกมนี้