ศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรกประจำค่ำคืนนี้หลายคนคงจับตามองไปที่เกมระหว่าง เชลซี จะเปิดสแตมฟอร์ด บริดจ์ รับมือ บาเยิร์น มิวนิค
เชลซี กำลังเรียกความมั่นใจกลับมาได้อีกครั้ง หลังเปิดบ้านชนะ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ในศึกลอนดอน ดาร์บี้ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเวลานี้พวกเขาประสบปัญหานักเตะตัวหลักบาดเจ็บหลายรายทั้ง คริสเตียน พูลิซิช, คัลลัม ฮัสสัน โอดอย และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้
ขณะที่ยอดทีมแห่งแคว้นบาวาเรียกำลังอยู่ในฟอร์มที่ร้อนแรงสุดๆหลังจากพวกเขาเก็บชัย 6 นัดจาก 8 เกมหลังสุด และถูกยกให้เหนือกว่าทีมของ แฟร้ง แลมพาร์ด ในการดวลกันครั้งนี้ และนี่คือ 3 สิ่งที่ เชลซี จะต้องระวังเป็นพิเศษในการเจอกับ บาเยิร์น มิวนิค
อาวุธการโจมตีหลากหลาย
อีกหนึ่งอาวุธการโจมตีที่สร้างความอันตรายให้กับคู่ต่อสู้ของ บาเยิร์น มิวนิค ในฤดูกาลนี้คือการเติมเกมของฟูลแบ็กสองฝั่ง โดยเฉพาะ อัลฟอนโซ่ เดวีส์ แบ็กซ้ายดาวรุ่งชาวแคนาดาที่ก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวในฤดูกาลนี้ หลังสอดแทรกเข้ามายืนตำแหน่งแบ็คซ้ายเมื่อ ดาวิด อาลาบา ถูกจับให้ไปยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็ค
อย่างไรก็ตามจุดอ่อนของ "เสือใต้" ชุดนี้คือการที่แนวรับดันขึ้นสูงเพื่อเน้นเรื่องการโจมตีเป็นหลัก ซึ่งทำให้คู่เซ็นเตอร์ทั้ง เจอโรม บัวเต็ง และ อลาบา ต้องลอยสูงตามไปด้วย ซึ่งจุดนี้เองเป็นโอกาสที่ เชลซี จะสบโอกาสโดยเฉพาะในเกมโต้กลับที่มีแนวรุกความเร็วจัดไม่ว่าจะเป็น วิลเลียน หรือ เมสัน เมาท์ ในการเล่นงานแนวรับเสือใต้
สามแนวรุกสุดอันตราย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้ง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, แซร์จ นาบรี้ และ โธมัส มุลเลอร์ กลายเป็นสามแนวรุกสุดอันตรายในฤดูกาลนี้ โดยกองหน้าชาวโปแลนด์ถือเป็นหนึ่งในดาวยิงที่ดีที่สุดในยุโปรเวลานี้หลังทำไปแล้ว 38 ประตูจากการลงเล่น 32 เกมทุกรายการ ส่วนปีกชาวเยอรมันยิงไป 15 ประตูพร้อมทำได้อีก 9 แอสซิสต์จากการลงเล่น 29 เกมทุกราย รวมถึงยังกดแฮตทริกใส่ สเปอร์ส ในรายการนี้มาแล้วด้วย ส่วนกองหน้าทีมชาติเยอรมันแม้จะทำประตูไม่ได้เป้นกอบเป้นกำ แต่เขาก็แลกมาด้วยการทำแอสซิสต์ไปแล้วถึง 15 ครั้ง มากสุดในทีม
แน่นอนว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะต้องกำชับลูกทีมเป็นพิเศษที่จะต้องปิดตายสามตัวรุกรายนี้เป็นพิเศษ และควรเริ่มด้วยการเล่นในระบบหลังสามอีกครั้งโดยใช้ อันโตนิโอ รือดิเกอร์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เช่นเดียวในเกมพบสเปอร์ส อย่างไรก็ตาม รือดิเกอร์ ควรจะเข้าไปยืนเป็นเซ็นเตอร์ตัวกลางเพื่อคอยประกบ เลวานดอฟสกี้ แทน
สถิติสุดโหดในชปล.
บาเยิร์น มิวนิค โชว์ฟอร์มได้ร้อนแรงในรอบแบ่งกลุ่มที่ผ่านมา หลังทำสถิติเป็นเพียงทีมที่ 7 และทีมแรกจากเยอรมันที่ชนะ 6 เกมรวดในรอบดังกล่าวแถมยังไร้พ่ายตลอด 12 เกมเยือนรายการยุโรป (ชนะ 9 เสมอ 3) และยิงอย่างต่ำ 2 ประตูแทบทุกเกมยกเว้นนัดเสมอลิเวอร์พูล 0-0 เมื่อซีซั่นที่แล้ว
อย่างไรก็ตามยังมีสถิติที่ เชลซี พออุ่นใจได้อยู่บ้างเมื่อพวกเขาแพ้เกมยุโรปในบ้านเพียงหนเดียวจาก 14 นัดที่ผ่านมา (ชนะ 8 เสมอ 5) ซึ่งก็คือแมตช์โดนบาเลนเซียบุกมาเอาชนะในนัดเปิดรอบแบ่งกลุ่มฤดูกาลนี้
นอกจากนี้สถิติในการมาเยือนทีมในอังกฤษของทัพ "เสือใต้" ไม่ค่อยสู้ดีนักเมื่อเก็บชัยได้แค่ 2 จาก 6 เกมหลังสุด (เสมอ 2 แพ้ 2) แต่ทั้งสองครั้งนั้นเกิดขึ้นที่กรุงลอนดอน โดยถล่มสเปอร์ส 7-2 รอบแบ่งกลุ่มปีที่แล้ว และชนะอาร์เซน่อล 5-1 รอบ 16 ทีมเมื่อ 2017