โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือชาวนอร์เวย์ กลายเป็นของแสลงสำหรับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไปแล้ว หลังเกมล่าสุดนำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดับซ่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-0 เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ "ผีแดง" ชนะ "เรือใบสีฟ้า" ทั้งเหย้า-เยือน ในลีกฤดูกาลเดียวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซีซั่น 2009/10
แมตช์นี้แฟนบอล "ผีแดง" ทั่วโลก ได้รู้แล้วว่าพวกเขามีนักเตะระดับโลกประดับทีม เมื่อ บรูโน่ แฟร์นันด์ส โชว์ทักษะขั้นเทพโดยเฉพาะจังหวะเล่นลูกตั้งเตะที่เหนือชั้นช่วยให้ทีมขึ้นนำไปก่อน ขณะเดียวกันแท็คติกของ "น้าลูกอม" ที่เล่นอย่างอดทนรอสวนกลับก็สำฤทธิ์ผล
ความพ่ายแพ้ของ แมนฯ ซิตี้ ทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล ต้องการชัยชนะเพียงแค่ 2 เกมก็จะได้ฉลองแชมป์ลีกสูงสุดที่รอคอยกันมานานถึง 3 ทศวรรษ และแน่นอนว่าบรรดาสาวก "เดอะ ค็อป" คงรู้สึกสะใจที่เห็น "ปีศาจแดง" ช่วยจัดส่งโทรฟี่พรีเมียร์ลีกใส่พานให้กับพวกเขา !!!
1. มาร์กซิยาล ยิ่งเล่นยิ่งพัฒนา
แม้บางครั้ง อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล จะโดนจับไปยืนเป็นตัวรุกทางกราบบ้าง หรือในบางเกมก็โดนดร็อป แต่สุดท้าย ดาวเตะชาวฝรั่งเศส ยังคงมุ่งมั่นในการเล่น และในที่สุดเขาก็แสดงให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้เห็นแล้วว่า ฟอร์มของเขายังคงพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ กองหน้าเลือดเฟร้นช์ ซัดไปแล้ว 11 ประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ โดยเทียบเท่ากับฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดของเขาในลีกเมื่อฤดูกาล 2015/16 แน่นอนว่าผลงานของนักเตะในเวลานี้ทำให้สาวก "เร้ด อาร์มี่" เริ่มมีความหวังที่จะเห็นทีมกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
แม้ว่าแมตช์นี้ มาร์กซิยาล อาจจะโดนตำหนิอยู่บ้างจากจังหวะหวงบอล ที่หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ แต่ตัดสินใจยิงเองและติดเซฟของ เอแดร์ซอน ทั้งๆ ที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยืนโล่งๆ อย่างไรก็ตามนักเตะมาแก้ตัวได้ในอีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ด้วยการโชว์จังหวะวอลเลย์สุดสวยจากการเล่นฟรีคิกเหนือชั้นของ จอมทัพโปรตุกีส
ความเร็ว และทักษะของ มาร์กซิยาล สามารถปั่นป่วนเกมรับของ แมนฯ ซิตี้ ได้ตลอด ยิ่งในครึ่งหลัง "ผีแดง" ใช้แท็คติกเล่นสวนกลับ แข้งแดนน้ำหอมยิ่งได้โอกาสใช้ความเร็วจัดการกองหลังของ "เรือใบสีฟ้า" และด้วยผลงานแบบนี้แน่นอน โซลชา และแฟนบอล คงรู้สึกเหมือนกันก็คือนี่แหละ หัวหอกตัวเป้า ที่พวกเขาต้องการ
ตอนนี้ มาร์กซิยาล กลายเป็นนักเตะคนที่สองของ แมนฯ ยูฯ ที่ยิงประตูในการเล่นตัวจริง 3 เกมติดต่อกันศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมตช์ โดยคนแรกก็คือรุ่นพี่ของเขา เอริก คันโตน่า ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม 1993 และเดือนเมษายน 1996 นอกจากนี้ "น้องหมาก" ยังเป็นแข้ง "ผีแดง" คนแรกที่ยิงประตู แมนฯ ซิตี้ ได้ทั้งเกมเหย้า-เยือนในเกมลีกฤดูกาลเดียวกัน นับตั้งแต่ที่ คริสเตีโน่ โรนัลโด้ ทำได้ในฤดูกาล 2006/07
2. แฟร์นันด์ส ของจริงจากดินแดนฝอยทอง
โปรตุเกส ประเทศที่ผลิตนักเตะชั้นยอดมากมาย และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ได้แข้งจากดินฝอยทองช่วยสร้างความยิ่งใหญ่ อย่างเช่น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ นานี่ เป็นต้น ตอนนี้แฟนบอล "ผีแดง" คงรู้สึกเหมือนกับว่า บรูโน่ แฟร์นันด์ส คือความหวังใหม่ที่จะสร้างความยิ่งใหญ่เหมือนรุ่นพี่ของเขา
นับตั้งแต่ที่ แฟร์นันด์ส ย้ายมาร่วมทีมในช่วงตลาดพ่อค้าแข้งรอบ 2 เดือนมกราคมที่ผ่านมา เขาเป็นผู้เล่นที่สร้างความแตกต่างให้กับทัพ "ปีศาจแดง" อย่างแท้จริง ก่อนหน้าเกมนี้ ดาวเตะเลือดฝอยทอง ยิง ทุกถ้วย 3 ประตู เริ่มจากจุดโทษกับ วัตฟอร์ด (ลีก), จุดโทษใส่ คลับ บรูช ใน ยูโรปา ลีก และยิงไกลใส่ เอฟเวอร์ตัน บวกแอสซิสต์อีก 2 ครั้ง ชัดเจนว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ฟอร์มเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อมีนักเตะรายนี้เข้ามาร่วมทีม
สำหรับเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมตช์ครั้งแรกของ แฟร์นันด์ส ดูเหมือนนักเตะไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอะไรเลย แถมยังคงเล่นได้ดีเป็นศูนย์กลางของทีม และผ่านบอลสวยๆ ให้เพื่อนร่วมทีมได้ตลอด แต่ในเกมนี้เจ้าตัวได้แสดงให้เห็นถึงความเฉลียวชาญในการเล่นมากยิ่งขึ้น
จังหวะฟรีคิกหากเป็นผู้เล่นคนอื่นอาจจะเลือกยิง, โยนเข้ากลาง หรือส่งบอลเรียด แต่ แฟร์นันด์ส ทำเรื่องเหนือความคาดหมายผู้เล่นแมนฯ ซิตี้ ด้วยการโยกบอลข้ามกำแพงให้ มาร์กซิยาล วอลเลย์อย่างงดงามเข้าประตูช่วยให้ต้นสังกัดขึ้นนำไปก่อน
ตอนนี้ต้องยอมรับว่า แฟร์นันด์ส คือมือ 1 ในการเล่นลูกตั้งเตะของทัพ "เร้ด เดวิลส์" อย่างแท้จริง และเมื่อดูสถิตินับตั้งแต่เกมเปิดตัวในลีกเมื่อวันที่ 1 ก.พ. จนกระทั่งแมตช์จม "เรือใบสีฟ้า" แฟร์นันด์ส เป็นนักเตะที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับประตูที่ต้นสังกัดทำได้มากกว่าผู้เล่นคนอื่นๆ ในพรีเมียร์ลีกช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีเอี่ยว 5 ประตู : ยิงเอง 2 ลูก (จุดโทษกับ วัตฟอร์ด กับยิงไกลใส่ เอฟเวอร์ตัน) และแอสซิสต์ 3 ครั้ง
3. ฝันร้าย เอแดร์ซอน
แน่นอนว่านักเตะที่ไม่อยากจดจำเกมนี้เลยคงหนีไม่พ้น เอแดร์ซอน โมราเอส ผู้รักษาประตูชาวบราซิเลียน และแมตช์นี้ต้องยอมรับว่าผู้เล่นที่ทำผลงานได้ย่ำแย่ที่สุดคงหนี้ไม่พ้นเขาคนนี้แหละ เพราะเจ้าตัวทำผิดพลาดมหันต์หลายครั้งจนส่งผลต่อหายนะ
จังหวะแรก เอแดร์ซอน น่าจะป้องกันลูกยิงของ มาร์กซิยาล ได้ดีกว่านี้ แต่ดันปัดบอลทะลักเข้าประตูช่วยให้เจ้าบ้านขึ้นนำไปก่อน แต่หากมองแบบเป็นกลาง แข้งเลือดเฟร้นช์ ก็ยิงได้ดีจริงๆ ส่วนจังหวะที่สองเกิดขึ้นช่วงต้นครึ่งหลังเมื่อเจ้าตัวดันจับบอลกระฉอกเท้า และ มาร์กซิยาล วิ่งเข้ามาจะถึงบอลอยู่แล้ว แต่เดชะบุญที่ โกลแซมบ้า วิ่งกลับมาแก้ตัวทันเตะบอลทิ้งไปได้ก่อน
อย่างไรก็ตาม เอแดร์ซอน ก็ทำผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ โดยจังหวะดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งหลัง เมื่อเจ้าตัวรีบร้อนออกบอลเร็ว แต่ดันไม่แม่น ทำให้บอลทะลึกไปถึง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และแข้งเลือดวิสกี้ ก็ไม่ปล่อยโอกาสทองหลุดลอย จัดการยิงแบบไม่จับส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายอย่างงดงาม
ความพ่ายแพ้ในแมตช์นี้จะโทา เอแดร์ซอน คนเดียวก็ไม่ได้ เพราะหากมองจากความเป็นจริง เกมรับของ แมนฯ ซิตี้ ก็จัดการกับความเร็วของแข้ง "ผีแดง" ไม่อยู่จริงๆ เพียงแค่ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากจังหวะผิดพลาดของ นายทวารแซมบ้า มันส่งผลให้ทีมเสียประตู
4. ไร้พ่าย 10 เกมติดต่อกัน
ผลงานดีมีคุณภาพแบบนี้ทำให้แฟนพันธุ์แท้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ย้อนนึกถึงวันแรกที่ โซลชา เข้ามากุมบังเหียน โดย "น้าลูกอม" นำทีมไม่แพ้ใครเลย 11 เกมแรกที่ได้รับตำแหน่งคุมทัพ "ปีศาจแดง" ในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม 2018-เดือนกุมภาพันธ์ 2019 จึงเกิดวลีเด็ด "ปลุกปีศาจต้องใช้ปีศาจ" !!
แม้ว่าหลังจากที่ โซลชา ได้รับสัญญาคุมทีมถาวร แมนฯ ยูไนเต็ด จะมีฟอร์มลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอดก็ตาม แต่พวกเขาก็ค่อยๆ พัฒนาผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ โดยนักเตะหลายคนก็โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นอย่าง เฟร็ด ที่ตอนแรกถูกตำหนิ แต่เมื่อมีโอกาสได้เล่นร่วมกับ แฟร์นันด์ส เขาก็สามารถยกระดับฝีเท้าขึ้นมาเป็นยอดแข้งตัวความหวัง
สำหรับตอนนี้ โซลชา กลับมาปลุกความร้อนแรงของต้นสังกัดได้อีกครั้ง โดย 10 แมตช์หลังสุดจากทุกรายกายพวกเขาไม่แพ้ใครเลย แถมยังชนะ 4 จาก 5 เกมล่าสุดด้วย (แถมไม่เสียประตู 4 เกม) แน่นอนว่าด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมในเวลานี้ทำให้พวกเขามีลุ้นที่จะทำอันดับขึ้นไปติดท็อปโฟร์ เพราะตามหลัง เชลซี แค่ 3 แต้มเท่านั้น
ในขณะเดียวกันหากยังรักษาฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่งแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่การลุ้นโควตาลุ้นไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เท่านั้น แต่พวกเขาอาจจะมีสิทธิ์ฝันถึงการคว้าแชมป์บอลถ้วยทั้ง ยูฟ่า ยูโรปา ลีก และ เอฟเอ คัพ ก็ได้
5. ชัยชนะที่คู่อริตลอดกาลซาบซึ้ง
ต้องบอกว่าชัยชนะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มันได้สร้างความยินดีปรีดาไปไกลถึงสนามแอนฟิลด์ เพราะการที่ "เรือใบสีฟ้า" ต้องกลับบ้านโดยที่ไม่มีอะไรติดมือเลย ส่งผลให้พวกเขาตามหลัง ลิเวอร์พูล ไปไกลสุดกู่ถึง 25 คะแนนแล้ว
ด้วยการที่มีคะแนนทิ้งห่างกันขนาดนี้ ทำให้ "หงส์แดง" ซึ่งปัจจุบันมี 82 คะแนน ทำให้พวกเขาต้องการชัยชนะอีกแค่ 2 เกมก็เพียงพอที่จะหยุดติการรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกเอาไว้ที่ตัวเลข 30 ปี แต่กระนั้นสาวก "เดอะ ค็อป" อาจจะได้มีโอกาสเฮสนั่นเร็วกว่านั้นก็ได้ !
ทำไมถึงบอกว่า ลิเวอร์พูล จะได้ฉลองแชมป์เร็วกกว่านั้น ก็เพราะใน 2 เกมที่ แมนฯ ซิตี้ ต้องลงเล่นกับ อาร์เซน่อล วันพุธนี้ซึ่งเป็นแมตช์ตกค้าง และ เบิร์นลี่ย์ หากพวกเขายังฟอร์มสะดุดแพ้เรียบวุธ นั่นจะเป็นการส่งโทรฟี่พรีเมียร์ลีก ใส่พานให้ "เดอะ เร้ดส์" ทันที โดยที่จ่าฝูงยังไม่ได้แข่งกับ เอฟเวอร์ตัน วันจันทร์หน้า
แล้วแบบนี้ คล็อปป์ และลูกทีม ทำไมจะไม่ส่งแชมเปญขวดใหญ่มอบให้ โซลชา กับแข้ง "ปีศาจแดง" ที่ช่วยสานฝันเหล่าแฟนบอลลิเวอร์พูล ทั่วโลกได้เร็วยิ่งขึ้น.....