"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล หมดสิทธิ์ที่จะสร้างสถิติเป็นสโมสรที่ทำคะแนนเกิน 100 แต้มไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่พวกเขาบุกไปแพ้ "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล 1-2 ที่สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพุธที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ซาดิโอ มาเน่ เริ่มต้นให้กับแชมป์ลีกได้อย่างงดงามด้วยการเบิกร่องทำประตูขึ้นนำไปก่อน และดูเหมือนว่าทุกๆ อย่างจะอยู่ในมือของ "เดอะ เร้ดส์" แต่จากความผิดพลาดส่วนบุคคลของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อลีสซง เบ็คเกอร์ ทำให้ทีมเสีย 2 ประตู และนำไปสู่หายนะเนื่องจากพ่ายไปอย่างน่าเจ็บปวด
สำหรับตอนนี้ "หงส์แดง" ยังมีแต้มคงที่ที่ 93 คะแนน และเหลือเกมลงแข่งอีก 2 แมตช์ ซึ่งต่อให้พวกเขาเก็บชัยชนะได้หมดก็ทำได้สูงสุดแค่ 99 แต้มเท่านั้น นั่นหมายความว่าทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่สามารถทำลายสถิติ 100 แต้มที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สร้างเอาในซีซั่น 2017/2018
1. ฟานไดค์-อลีสซง ก็คนปกติผิดพลาดได้
เกมนี้ต้องบอกได้เลยว่าความพ่ายแพ้ของ ลิเวอร์พูล เกิดจากความผิดพลาดส่วนบุคคลของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ อลีสซง เบ็คเกอร์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสองผู้เล่นที่ทำผลงานได้คงเส้นคงวา และไว้วางใจได้มากที่สุดในขุมกำลังทัพ "หงส์แดง" ชุดนี้
หากจะมองตามความเป็นจริงจังหวะที่ ฟาน ไดค์ ส่งคืนหลังพลาด อาจจะเป็นการทำฟาวล์เพราะ ปราการหลังชาวดัตช์ โดน รีสส์ เนลสัน ทั้งแซะทั้งดึง แต่สุดท้าย "วีเออาร์" ยืนยันว่าแข้งเจ้าบ้านไม่ได้ทำอะไรผิดกฎ งานนี้ก็ต้องยกประโยชน์ให้กับอาร์เซน่อลไปโดยปริยาย
ในขณะเดียวกันก็ต้องชม อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ ก็แสดงให้เห็นถึงความนิ่งด้วยการแตะบอลหลบ อลีสซง ก่อนจะซัดไม่เหลือซาก อย่างไรก็ตามทุกอย่างอาจจะไม่เลวร้ายหาก นายทวารชาวบราซิเลียน ไม่ทำผิดพลาดมหันต์จนเป็นเหตุให้ต้องเสียประตูที่สอง
จริงๆ แล้ว อลีสซง เป็นผู้รักษาประตูที่ใช้เท้าได้ดีพอๆ กับมือ แต่เกมนี้ไม่รู้ว่าเจ้าตัวมัวแต่คิดงานฉลองแชมป์หลังจบเกมรับมือ เชลซี ที่สนามแอนฟิลด์ กลางสัปดาห์หน้าหรือเปล่า !!?? ถึงทำให้เจ้าตัวเตะบอลได้แย่มากๆ และเป็นเหตุให้โดน ลากาแซตต์ ฉกบอลก่อนส่งถวายพานให้ เนลสัน กดไม่เหลือซาก
หากพูดกันตามเนื้อผ้าเกมนี้ ลิเวอร์พูล ครองบอลได้เหนือกว่าขาดแค่ความเฉียบคมในแดนหน้า และความผิดพลาดในเกมรับ ที่ทำให้พวกเขาต้องกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้
2. ซาลาห์ เงียบสงบจืดสนิท
แมตช์นี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มาพร้อมกับความหวังที่จะยิงประตูเพื่อลุ้นคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดในฤดูกาลนี้ แต่ตอนนี้ความปรารถนาของเจ้าตัวคงใกล้จะฝันสลาย หลังจากที่ไม่สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายในเกมเยือนถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
สตาร์ลูกหนังชาวอียิปต์ กำลังไล่ล่าคว้ารองเท้าทองคำสมัยที่สามติดต่อกัน แต่จากการที่ไม่สามารถซัดประตูได้ในแมตช์เยือน อาร์เซน่อล ส่งผลให้โอกาสของเขาค่อยๆ ริบหรี่เต็มที่ โดยเฉพาะการที่เกมลีกเหลือแค่ 2 แมตช์ และสถิติยิงประตูยังคงที่ 19 ลูก ตามหลัง เจมี่ วาร์ดี้ ถึง 4 ประตู แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไล่ทัน
"บังโม" มีโอกาสงามๆ 2 ครั้งในครึ่งหลังที่จะใส่ชื่อตัวเองบนสกอร์บอร์ด โดยหนึ่งในนั้นเป็นจังหวะที่โชว์สเต็ปเทพหลอก ดาวิด ลุยซ์ แต่น่าเสียดายที่ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ โชว์ซูเปอร์เซฟปัดทิ้งไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อในระยะเพียงแค่ 6 หลาเท่านั้น
ตอนนี้คงต้องยอมรับว่า "โม ซาลาห์" ค่อนข้างจะขาดความมั่นใจในการยิงประตู แถมการประสานงานกับ ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ไม่ค่อยเข้าขากันนับตั้งแต่ที่พรีเมียร์ลีก รีสตาร์ท หากจะพูดแบบเข้าข้าง ก็เป็นไปได้ที่ทัพ "หงส์แดง" ขาดแรงกระตุ้น เนื่องจากได้แชมป์ไปแล้ว ทำให้พวกเขาไม่ค่อยกระตือรือร้นในการเล่นมากนัก
ส่วนโอกาสที่ ซาลาห์ จะยิงประตูแซง วาร์ดี้ คงแทบจะเป็นศูนย์ไปแล้ว
3. ลากาแซตต์ ฟอร์มฮอตเหมาะสมปลอกแขนกัปตันทีม
อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ ไม่ทำให้ มิเกล อาร์เตต้า ต้องผิดหวังที่มอบความไว้วางใจให้เขาสวมปลอกแขนกัปตันทีม เพราะฟอร์มการเล่นในแมตช์นี้่ หัวหอกชาวฝรั่งเศส โดดเด่นมากๆ ที่สำคัญยังมีส่วนร่วมกับทั้งสองประตูที่ "เดอะกันเนอร์" ทำได้ในเกมนี้
ดาวยิงเลือดเฟร้นช์ ทำผลงานกดดันแนวรับ ลิเวอร์พูล ได้ดีมากๆ โดยเฉพาะความรวดเร็ว และความแข็งแกร่ง ที่สำคัญยังเต็มไปด้วยความเฉียบคม เมื่อมีโอกาสเจ้าตัวไม่ปล่อยให้หลุดลอยไป โดยในจังหวะได้ประตูแรก ลากาแซตต์ แสดงให้เห็นถึงความเป็นเพชฌฆาตที่ทั้งนิ่งทั้งคม
ขณะที่ในจังหวะได้ประตูที่สอง กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศส อ่านเกมได้เด็ดขาด เมื่อรอจังหวะที่ อลีสซง เตะบอลออกมาไม่ดี ทำให้เขาวิ่งไปรอฉก ก่อนจะจัดการถวายพานพร้อมช่อดอกไม้ให้กับ รีสส์ เนลสัน ที่ไม่ปล่อยโอกาสทองหลุดเท้า ซัดเข้าประตูไม่เหลือซาก
ผลงานในเกมนี้ อาร์เตต้า คงประจักษ์ชัดกับสายตาตัวเองแล้วว่า ลากาแซตต์ ยังคงเป็นกองหน้าที่มีความสำคัญกับทีมมากๆ และจะเป็นกำลังหลักในการนำ "ไอ้ปืนใหญ่" ดวล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ
4. ขาดมิติการเล่นที่หลากหลาย
นี่เป็นอีกเกมที่สาวก "เดอะ ค็อป" ได้เห็นแล้วว่า ลิเวอร์พูล ยังขาดมิติการเล่นที่หลากหลาย โดยเฉพาะเมื่อฟูลแบ็กซ้าย-ขวา ไม่สามารถเติมเกมบุก หรือเปิดบอลได้แม่นยำ ทำให้ทีมไม่สามารถกดดันแนวรับ อาร์เซน่อล ได้เลย และนำไปสู่ความพ่ายแพ้อย่างที่เห็น
เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน มีโอกาสดันเกมขึ้นมาเหมือนกับแมตช์อื่นๆ แต่ที่ต่างจากเดิมก็คือทั้งสองคนไม่สามารถวิ่งเจาะทางริมเส้น หรือเปิดบอลอย่างแม่นยำเข้าไปในกรอบเขตโทษเพื่อให้แนวรุกของทีมทำประตูได้เลย
ในรายของ โรเบิร์ตสัน ยังพออุ่นใจเพราะเป็นคนแอสซิสต์ให้ ซาดิโอ มาเน่ ทำประตู ขณะเดียวกันก็พยายามวิ่งเติมเกมบุก และช่วยเกมรับอย่างเต็มที่ ส่วน "เจ้าหนูเทรนต์" ตอนนี้คงต้องกลับไปทำการบ้านมากขึ้น เพื่อจะได้เรียกฟอร์มเก่งของตัวเองกลับมาให้ได้
ขณะเดียวกันการพยายามเจาะเกมจากแดนกลางก็ขาดประสิทธิภาพ เนื่องจากไม่มีหัวหมู่ทะลวงฟันอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คอยบุกตะลุย ส่วนสามประสานแดนหน้า ดูเหมือนจะเล่นไม่เข้าขากันเลย โดยเฉพาะ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ค่อนข้างจะโฟกัสไปที่การทำประตูเพื่อลุ้นทำอันดับดาวซัลโว
ด้าน โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ต้องบอกว่าฟอร์มหดหายไปเยอะ และแทบไม่มีส่วนในเกมรุกของทีมมากนัก ที่ดูดีหน่อยก็คือ ซาดิโอ มาเน่ เพราะเจ้าตัวแสดงให้เห็นถึงความขยันในการเล่น และพยายามวิ่งไล่บอลตลอด ที่สำคัญจังหวะการจบสกอร์ก็เฉียบคม ทำให้ตอนนี้เขาซัดไปแล้ว 17 ประตูในลีก และ 21 ลูกจากทุกรายการ
5. สถิติแมนฯ ซิตี้ยังคงอยู่ต่อไป
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คงอยากจะส่งแชมเปญกับช่อดอกไม้ไปให้ มิเกล อาร์เตต้า อดีตมือขวาของเขา หลังนำ อาร์เซน่อล ดับซ่า "หงส์แดง" เพราะนั้นหมายความว่าสถิติทำคะแนนสูงสุดในพรีเมียร์ลีก ของ "เรือใบสีฟ้า" จะยังคงอยู่ตลอดไปอย่างน้อยก็ในฤดูกาลนี้
ลิเวอร์พูล มีโอกาสที่จะทำคะแนนทะลุหลัก 100 แต้ม หากพวกเขาบุกชนะทัพ "ไอ้ปืนใหญ่" ในเกมนี้ และเก็บชัยชนะที่เหลืออยู่ให้หมด จะทำให้ "หงส์แดง" มี 102 คะแนน แซงหน้า แมนฯ ซิตี้ ที่เคยทำเอาไว้ 100 แต้ม ในฤดูกาล 2017/2018
อย่างไรก็ตามผลการแข่งขันไม่เป็นไปตามที่ใจปรารถนา นั่นหมายความว่าอีก 2 เกมที่เหลือ ลิเวอร์พูล ไม่มีทางทำแต้มได้ถึง 100 คะแนนแน่นอน ฉะนั้น "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังคงเป็นสโมสรที่ทำแต้มได้สูงสุดในพรีเมียร์ลีก ต่อไป
ที่สำคัญการครองสถิติทำคะแนนสูงสุด น่าจะทำให้ แมนฯ ซิตี้ มีกำลังใจฮึกเหิมที่จะทวงบัลลังก์แชมป์คืนมาจาก "เดอะ เร้ดส์" ในฤดูกาลหน้า ส่วน ลิเวอร์พูล สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือพยายามชนะ เชลซี ในแอนฟิลด์ เพื่อให้งานพิธีมอบโทรฟี่แชมป์มีความสมบูรณ์แบบ
ทอมเม้ง