เข้าสู่ช่วงบ็อกซิ่ง เดย์ โปรแกรมเตะถี่ยิบเริ่มต้นจากวันนี้ โดยมีบิ๊กแมตช์ 2 สนาม ในคืนวันเสาร์ ทั้ง เลสเตอร์ พบ แมนยู และ อาร์เซน่อล พบ เชลซี ส่วนคู่อื่นๆ ก็มีความน่าสนใจเช่นกัน ไปติดตามกันได้เลย!!
"เลสเตอร์-แมนยู"
เปิดหัวคู่แรกของ บ็อกซิ่ง เดย์ เวลาทุ่มครึ่ง เลสเตอร์ ซิตี้ เปิดสนามคิง เพาเวอร์ รับมือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งทั้งคู่รั้งอันดับ 2 และ 3 ของตารางคะแนน ในขณะนี้
นับตั้งแต่ "เดอะ ฟ็อกซ์" เลื่อนชั้นขึ้นสู่เวทีพรีเมียร์ลีก เมื่อปี 2014 พวกเขาแพ้ในการเล่นวันแกะกล่องของขวัญถึง 5 จาก 6 นัด อีกทั้งสถิติการเจอกับ "ปีศาจแดง" ก็ไม่สู้ดีเท่าไหร่เลย เมื่อพ่ายไป 19 นัด และเสีย 60 ประตู ให้แก่ แมนยู กับการเจอกันใน พรีเมียร์ลีก
แมนฯ ยูไนเต็ด เตรียมทาบสถิติชนะเกมนอกบ้าน 11 นัดติดต่อกัน หากไม่แพ้เกมนี้ โดยจะเทียบเท่ากับ เชลซี ที่เคยทำได้ระหว่างเดือนเมษายน ถึง เดือนธันวาคม ปี 2008 และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงเดือน ธันวาคม ปี 2017
ขณะที่สถิติการเล่นเกมบ็อกซิ่ง เดย์ ของฝั่งทีมเยือน คนละเรื่องกับเจ้าถิ่นสิ้นเชิง เมื่อพวกเขาเอาชนะได้ 21 ครั้ง (มากสุด) และมีเปอร์เซ็นมากสุดถึง 81% เลยทีเดียว
"อาร์เซน่อล-เชลซี"
บิ๊กแมตช์ ประจำบ็อกซิ่ง เดย์ "ลอนดอน ดาร์บี้" อาร์เซน่อล พบ เชลซี ที่สนามเอมิเรตส์
"เดอะ กันเนอร์ส" มีสถิติสวยหรูสุดๆ ในการเล่นที่บ้านตัวเองในช่วง บ็อกซิ่ง เดย์ เมื่อพวกเขาเอาชนะได้ตลอด 9 นัดที่เล่นที่นี่ รวมถึงเกมที่เอาชนะ เชลซี 2-1 เมื่อปี 2001
ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง มีโอกาสเป็นผู้เล่นของ อาร์เซน่อล คนแรกที่สามารถทำประตูในช่วง บ็อกซิ่ง เดย์ ได้ 3 ปีติดต่อกัน นับตั้งแต่ที่ เธียร์รี่ อองรี เคยทำได้ระหว่างปี 2002-204
เชลซี แพ้ต่อ อาร์เซน่อล แค่ 2 นัด จาก 17 เกมลีกที่เจอกันหลังสุด (ชนะ 9 เสมอ 6) ซึ่งความพ่ายแพ้ 2 เกมเกิดขึ้นที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ตอนเดือนกันยายน ปี 2016 และเดือนมกราคม ปี 2019
"สิงห์บลูส์" แพ้เกมเยือนมาแล้ว 2 เกมติด แต่พวกเขาก็ไม่ได้แพ้ 3 เกมติดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019 ซึ่ง 1 ใน 3 นัดนั้นคือการพ่ายต่อ "ไอ้ปืนใหญ่"
"แมนฯ ซิตี้-นิวคาสเซิล"
คู่ต่อมาที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เป็นการเจอกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
"เรือใบสีฟ้า" เอาชนะ "สาลิกาดง" ในการเล่นที่บ้านตัวเองในศึก พรีเมียร์ลีก มาแล้ว 11 นัดติดต่อกัน โดยยิงไป 39 ประตู และเสียแค่ 7 ลูกเท่านั้น ซึ่งเป็นสถิติชนะในบ้านต่อคู่แข่งติดต่อกันยาวนานที่สุดที่ พลพรรคซิตี้เซน ทำได้บนลีกสูงสุด
เซร์คิโอ อเกวโร่ ทำประตูใส่ "เดอะ แม็กพายส์" ไปแล้ว 15 ประตู มากที่สุดในการที่ผู้เล่นคนหนึ่งสามารถสอยตาข่ายคู่แข่งได้
สตีฟ บรูซ มองหาชัยชนะเหนือ แมนฯ ซิตี้ บนเวที พรีเมียร์ลีก ให้ได้เป้นครั้งแรก หลังก่อนหน้านี้เจอกันมา 12 ครั้ง ไม่เคยชนะได้เลย (เสมอ 3 แพ้ 9) แต่ในอดีต เขาก็เคยชนะ "เรือใบสีฟ้า" ได้สมัยคุม ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 1999 ทว่าตอนนั้นเป็นการเจอกันในลีกดิวิชั่น 1
นิวคาสเซิล แพ้ตลอด 5 นัดหลังสุดที่เล่นในช่วง บ็อกซิ่ง เดย์ และลึกยิ่งไปกว่านั้น ในศึกพรีเมียร์ลีก พวกเขาแพ้ในวันที่แข่งวันที่ 26 ธันวาคม 14 เกม และเสียไป 42 ประตู แย่ที่สุดมากกว่าใครๆ ในลีก
"เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด-เอฟเวอร์ตัน"
ที่สนามบรามอลล์ เลน เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด พบ เอฟเวอร์ตัน
ประตูของ เจย์เดน โบเกิล แข้งดาวรุ่งของ "ดาบคู่" ที่ทำได้ในการลงเล่นนัดแรกเมื่อเกมก่อนในวัย 20 ปี 152 วัน โดยเกมนี้เจ้าตัวมีโอกาสเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดลำดับที่สองต่อจาก อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล (19 ปี 289 วัน) ที่สามารถทำประตูได้ในสองเกมแรกในศึก พรีเมียร์ลีก
เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด มีโอกาสเป็นทีมแรกของ พรีเมียร์ลีก ที่ชนะในช่วง บ็อกซิ่ง เดย์ ขณะที่อยู่อันดับสุดท้ายของตารางคะแนน โดยครั้งสุดท้ายที่ทีมบ๊วยเอาชนะได้เกิดขึ้นเมื่อปี 2013 ที่ ซันเดอร์แลนด์ คว้าชัยเหนือ เอฟเวอร์ตัน ได้
หลังจากชัยชนะที่นี่ 1-0 เมื่อซีซั่นก่อน เอฟเวอร์ตัน เตรียมมองหาชัยชนะที่ บรามอลล์ เลน 2 ครั้งติดต่อกันให้ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 1897
"ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ชนะคู่แข่งในเกมลีกมาแล้ว 3 นัดรวด ซึ่งครั้งล่าสุดที่พวกเขาเอาชนะได้ 4 เกมติดก็คือช่วง 4 เกมแรกของซีซั่นนี้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยทำสถิติชนะ 4 เกมติดต่อกันหรือมากกว่านั้นได้ในฤดูกาลเดียวนับตั้งแต่ซีซั่น 1986/87
"ลิเวอร์พูล-เวสต์บรอมวิช"
ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟิลด์ รับมือ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในคืนวันอาทิตย์
"หงส์แดง" ชนะทีมน้องใหม่ในบ้านตัวเองมาแล้วทั้งหมด 14 เกมภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ โดยยิงได้ 41 ประตู และเสียแค่ 7 ลูกเท่านั้น
โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ มีส่วนร่วมกับประตู 4 ลูกจาก 2 เกมหลังสุดในลีก (3 ประตู 1 แอสซิสต์) เทียบเท่ากับ 12 เกมก่อนหน้านี้ที่ทำได้ 2 ประตู 2 แอสซิสต์ โดยเกมล่าสุดที่ชนะ คริสตัล พาเลซ เจ้าตัวกลายเป็นแข้งบราซิเลี่ยนคนแรกที่มีส่วนร่วมกับประตูใน พรีเมียร์ลีก แตะหลัก 100 ครั้ง
แซม อัลลาไดซ์ กุนซือป้ายแดงของ "เดอะ แบ๊กกี้ส์" คือผู้จัดการทีมคนสุดท้ายที่สามารถบุกมาเอาชนะ ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ เกมลีกได้ โดยตอนนั้นเขาคุม พาเลซ เอาชนะ 2-1 เมื่อเดือนเมษายน ปี 2017 อีกทั้งในการเจอกับ "หงส์แดง" 3 เกมหลังที่ แอนฟิลด์ อัลลาไดซ์ ก็ไม่เคยแพ้เลย (ชนะ 1 เสมอ 2 )
ชัยชนะ 4 ครั้งของ เวสต์บรอมฯ ที่มีเหนือ ลิเวอร์พูล เกิดขึ้นจากการเจอกัน 5 นัด ตอนช่วงระหว่างเดือนเมษายน ปี 2011 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 โดยกุนซือคือ รอย ฮอดจ์สัน และ สตีฟ คล้าร์ก ซึ่งทั้งคู่ต่างเอาชนะได้คนละ 2 ครั้ง
"วูล์ฟส์-สเปอร์ส"
คู่สุดท้ายของแมตช์เดย์ที่ 15 วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส พบ ทอตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
นับจากชัยชนะ 3-2 ที่ทอตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม ในการเจอกันซีซั่นก่อน วูล์ฟส์ มองหาชัยชนะเหนือ สเปอร์ส สองเกมติดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2009/10
นับตั้งแต่เลื่อนชั้นกลับมาเล่น พรีเมียร์ลีก เมื่อปี 2018 "ทีมหมาป่า" เอาชนะเกมในบ้านได้ถึง 17 จาก 19 นัด หากพวกเขาเป็นฝ่ายขึ้นนำได้ก่อน โดยอีกสองเกมจบด้วยผลเสมอ
"ไก่เดือยทอง" เอาชนะ วูล์ฟส์ ที่ โมลินิวซ์ กราวน์ ในเกม พรีเมียร์ลีก มาแล้ว 3 เกมติดต่อกัน โดยทำประตูได้อย่างน้อย 2 ลูกทั้ง 3 นัด
ประตูต่อไปของ แฮร์รี่ เคน ศูนย์หน้าของ สเปอร์ส จะทำให้เขาเป็นผู้เล่นอังกฤษคนที่ 4 ที่สามารถทำประตูแตะเลขสองหลัก 7 ฤดูกาลติดต่อกัน ซึ่งก่อนหน้านี้มี ไมเคิล โอเว่น, แฟร้งค์ แลมพาร์ด ทำไว้ 10 ซีซั่น และ เวย์น รูนี่ย์ 11 ซีซั่น