แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงเซ็งไม่น้อยหลังเจอ เลสเตอร์ ซิตี้ ไล่ตามตีเสมอช่วงท้ายเกมทำให้หยุดสถิติคว้าชัยชัยชนะ 100% ในเกมเยือนของ “ผีแดง” ฤดูกาลนี้ การแบ่งแต้มกันอาจจะสมเหตุสมผลมากที่สุดเมื่อพิจารณาจากรูปเกมที่เกิดขึ้น ทั้งคู่ต่างมีทีเด็ดในแนวรุกแต่เกมรับยังเสียสมาธิ เรามาวิเคราะห์เจาะลึกประเด็นที่เกิดขึ้นในเกมนี้กัน
1.แดนกลางบู๊มันส์หยด
ถือเป็นเกมที่อึดอัดสำหรับแฟนบอลทั้งสองฝั่งเพราะกว่าจะสร้างโอกาสทำประตูแต่ละครั้งต้องฝ่าฝ่าแนวรับอีกฝ่ายอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะในแดนกลางที่สู้กันอย่างสนุกซึ่งมันมีคุณภาพตรงนี้ที่เราน่าเอาพูดคุยกัน
ฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด นั้นใช้มิดฟิลด์สายบู๊อย่าง เฟร็ด กับ แม็คโทมิเนย์ ซึ่งเป็นคู่กลางที่ลงตัวที่สุดในทีมตอนนี้ ทั้งสองคนมีสถิติที่ยอดเยี่ยมมาก โดย เฟร็ด ทำแท็กเกิ้ลมากถึง 5 ครั้งและยังตัดบอลอีก 4 ครั้ง ขณะที่ แม็คโทมิเนย์ ก็ไม่น้อยหน้าหลังทำแท็กเกิ้ลไป 6 ครั้ง ตัดบอลอีก 1 ครั้ง เมื่อดูจากสถิติแล้วไม่แปลกใจที่เกมรุก เลสเตอร์ จะติดๆขัดๆอยู่ตลอดเพราะมีมิดฟิลด์สองคนนี้คอยเกะกะอยู่หน้าประตูตัวเอง
ในทางกลับกันแผงกองกลางของทัพ “จิ้งจอกสยาม” ทำผลงานได้ดีเช่นกันโดยเฉพาะในรายของ วิลฟรีด เอ็นดิดี้ มิดฟิลด์ตัวรับที่คอยทำลายเกมรุกแมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ตลอด โดยเขาแท็กเกิ้ลสำเร็จถึง 7 ครั้งและตัดบอลอีก 3 ครั้ง ส่วนคู่หูอย่าง ยูริ ตีเลม็องส์ เป็นนักเตะที่แย่งบอลยาก มีประโยชน์ในการช่วยให้ทีมครองบอลมากโดยเจัาตัวเลี้ยงผ่านคู่แข่งถึง 6 ครั้ง แท็กเกิ้ล 3 ครั้งและตัดบอลอีก 2 ครั้ง
2.บรูโน่ทั้งดีทั้งแย่
ดาวเด่นของเกมนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น บรูโน่ แฟร์นันด์ส อีกแล้ว มิดฟิลด์ชาวโปรตุกีสยังรักษาฟอร์มสุดยอดแม้ทีมจะอดคว้าชัยชนะ เจ้าตัวน่าจะได้แอสซิสต์ตั้งแต่ต้นเกมหลังครอสบอลให้ แรชฟอร์ด โหม่งจ่อๆแต่ข้ามคานอย่างเหลือเชื่อ
จนกระทั่งเขามาจ่ายบอลให้ แรชฟอร์ด ยิงประตูแรกของเกมซึ่งจังหวะนี้อาจจะดูค่อนข้างยากว่าเขาตั้งใจส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีมหรือพยายามจับบอลที่ห่างตัว แต่นั่นไม่สำคัญเพราะนี่เป็นแอสซิสต์ที่ 6 ของเขาในลีกไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม บรูโน่ ไม่ได้ทำทุกอย่างได้ดีเสมอไป ประตูที่ทีมเสียลูกแรกเกิดมาจากความผิดพลาดของเขาที่เก็บบอลหน้าปากประตูตัวเองจากการเคลียร์ของ แม็กไกวร์ และพยายามจ่ายบอลขึ้นหน้าแต่ติด วิลฟรีด เอ็นดิดี้ จนทำให้ต่อมา ฮาวี่ย์ บาร์นส์ ได้ซัดไกลเสียบตาข่าย
ทว่าความผิดพลาดนี้ก็ถูกชดเชยหลังจากเจ้าตัวมายิงประตูให้ทีมขึ้นนำอีกครั้งซึ่งมันน่าจะเป็นประตูชัยของเกมนี้จริงๆ แต่จากการยิง 1 แอสซิสต์ 1 นั้นทำให้เขามีส่วนร่วมกับประตูถึง 31 ลูกจาการลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเพียง 28 นัดเท่านั้น นี่คือ “เดอะ แบก” ของ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริง
3.แรชน่าจบคมกว่านี้
หาก “ผีแดง” คว้าชัยชนะในเกมนี้ มาร์คัส แรชฟอร์ด คงจะโล่งอกไม่น้อยแต่ในเมื่อทีมทำได้แค่เก็บหนึ่งคะแนน เขาคงเซ็งอยู่พอสมควรกับผลงานที่เกิดขึ้นในสนาม
กองหน้าวัย 23 ปีมีโอกาสทองที่จะทำให้ทีมเล่นง่ายตั้งแต่ต้นเกมหลัง บรูโน่ ถวายพานครอสบอลให้โหม่งโล่งๆ ทว่า แรชฟอร์ด ดันโขกข้ามคานออกไปหน้าตาเฉย ในเกมที่สูสีแบบนี้ทุกคนรู้ว่าโอกาสทองฝังเพชรคงไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ไม่แปลกใจที่ แรชฟอร์ด จะทำหน้าผิดหวังอย่างแรง
ทว่าเขามาแก้ตัวได้สำเร็จเมื่อยิงประตูเลียดเสียบมุมตาข่ายให้ทีมขึ้นนำซึ่งจังหวะก็ต้องชมไหวพริบของ บรูโน่ และคุณภาพการจบสกอร์ของ แรชฟอร์ด
แต่เมื่อทีมโดนตีเสมอและเจอรูปเกมน่าอึดอัดในครึ่งหลังอีกครั้ง คนที่ควรจะปลดล็อกความกดดันให้ทีมได้ก่อนคือ แรชฟอร์ด หลังมีโอกาสหลุดเดี่ยวไปดวลตัวต่อตัวกับ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล แต่เจ้าตัวยิงติดเซฟอย่างน่าเสียดาย
หลังเกม พอล สโคลส์ ก็ให้ความเห็นถึงฟอร์มการเล่นของ แรชฟอร์ด อย่างน่าสนใจว่า ”เรามักจะคุยกันบ่อยๆว่าเขาคือกองหน้าตัวเป้าหรือตัวรุกริมเส้นกันแน่? สิ่งนี้แสดงให้เห้นแล้วว่าเขาคือตัวรุกริมเส้น มันควรจะเป็นประตูแล้วเพราะมันแค่ 6 หลาเท่านั้น”
4.คาวานี่-เปเรซทีเด็ดสำรอง
เมื่อรูปเกมออกมาสูสีกันในครึ่งแรกรวมถึงช่วงต้นครึ่งหลัง คราวนี้อยู่ที่ว่ากุนซือจะงัดอาวุธจากม้านั่งสำรองมาโจมตีคู่แข่งอย่างไร โดยทางฝั่ง โซลชา เริ่มนเดิมเกมก่อน เนื่องจากเขาคงมองว่า แดเนี่ยล เจมส์ เป็นจุดอ่อนอย่างชัดเจนหลังจากมีส่วนร่วมกับเกมรุกน้อยและยังก่อความผิดพลาดหลายครั้งในสนาม ดังนั้น ปอล ป็อกบา จึงถูกเปลี่ยนตัวลงมาเพื่อเสริมแกร่งในแดนกลางพร้อมเปลี่ยนแผนการเล่นมาเป็น 4-4-2 ไดมอนด์
เท่านั้นไม่พอช่วง 20 นาทีสุดท้าย โซลชา หวังจะใช้ทีเด็ดของ เอดินสัน คาวานี่ ช่วยยกระดับเกมรุกเหมือนกับที่เขาเพิ่งซัดประตูเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งการที่ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล บทบาทน้อยลงไปในช่วงครึ่งหลังจึงเป็นเหตุผลให้เขาถูกเปลี่ยนตัวออก และ คาวานี่ ก็ลงมาแผลงฤทธิ์ในทันทีเมื่อเขาขยับลงมาล้วงบอลต่ำพร้อมพาบอลไปจ่ายให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ทำประตูขึ้นนำ นี่เป็นการมีส่วนร่วมกับประตูในลีก 5 ลูกในฐานะตัวสำรองของเขา (3 ประตู 2 แอสซิสต์)
อย่างไรก็ตามฝั่ง เลสเตอร์ ซิตี้ เองก็มีทีเด็ดจากม้านั่งสำรองเช่นกัน เมื่อทีมตกเป็นฝ่ายตามหลัง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ตอบสนองด้วยการส่งแนวรุกอย่าง อโยเซ่ เปเรซ ลงสนามทันที ซึ่งเขาใช้เวลาในสนามแค่ 4 นาทีก็กลายเป็นทีเด็ดด้วยการเปิดบอลจากฝังขวาให้ เจมี่ วาร์ดี้ ยิงแฉลบเข้าประตูช่วยให้ทีมแบ่งแต้มไปในที่สุด
5.เปลี่ยนความคิดเพื่อลุ้นแชมป์
แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงเจอคำถามกับคำว่า “ดีพอ” ขึ้นไปลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ การบุกเก็บหนึ่งแต้มถ้าหากมองในแง่การเจอกับทีมรองจ่าฝูงก็ถือว่าไม่เลว แต่ถ้ามองในแง่ความเด็ดขาดหรือทีมที่ต้องลุ้นแชมป์จริงๆ มันถือว่าน่าเสียดายพอสมควรยิ่งทีมมีโอกาสได้สามแต้มในมือแล้วแท้ๆ
สิ่งหนึ่งที่จะทำให้แฟน “เร้ด อาร์มี่” รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยคือคำสัมภาษณ์ของ บรูโน่ หลังเกมที่ว่า “ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่เราผิดหวัง ผมแฮปปี้มากเพราะเมื่อเข้าไปในห้องแต่งตัวแล้วทุกคนทำหน้าผิดหวัง มันเป็นทัศนคติที่ดี ทัศนคติของผู้ชนะ” สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่านักเตะเริ่มที่จะเปลี่ยนความคิดมาให้เหมือนกับสมัย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
หลังจากนี้พวกเขามีโปรแกรมในบ้าน 4 นัดติดต่อกันเลยทีเดียว โดยจะพบกับ แอสตัน วิลล่า, วูล์ฟแฮมป์ตัน, แมนฯ ซิตี้ (คาราบาว คัพ) และ วัตฟอร์ด (เอฟเอ คัพ) หากเป้าหมายคือการขึ้นไปลุ้นแชมป์ สองนัดแรกพวกเขาต้องเก็บชัยชนะให้ได้สถานเดียว แต่ถ้าผลออกมาเป็นแบบอื่นถือว่าน่าผิดหวัง ดังนั้นถ้าเก็บ 6 แต้มเต็มพวกเขาจะมีความมั่นใจที่ดีก่อนเยือนแอนฟิลด์กลางเดือนมกราคมนี้
"Zvo"