ศึกแดงเดือดที่สมรภูมิ แอนฟิลด์ ในวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคมนี้ถือเป็นเวอร์ชั่นที่ได้รับความสนใจมากกว่าเกมแดงเดือดในช่วงหลายนัดที่ผ่านมา เพราะมันไม่ได้เป็นเพียงการเจอกันของ 2 คู่อริที่ดุเดือดที่สุดคู่หนึ่งแห่งวงการลูกหนังอังกฤษเท่านั้น แต่มันยังเป็นเกมที่มีตำแหน่งจ่าฝูง (และอาจจะรวมถึงแชมป์ในบั้นปลาย) เป็นเดิมพันด้วย
แน่นอน ส่วนใหญ่แล้วสายตาของแฟนบอลจะจับจ้องไปที่แนวรุก เพราะนี่คือ 2 ทีมที่ทำประตูในลีกได้มากที่สุดหากนับเฉพาะก่อนถึงโปรแกรมในสุดสัปดาห์นี้ โดยที่แนวรุกของทั้ง 2 ทีมต่างก็มีนักเตะที่ฝากผลงานเอาไว้ได้ดีในช่วงที่ผ่านมา อย่างเช่นเจ้าถิ่นที่มี ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรือ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่เหมือนเป็นจอมปิดทองหลังพระ ขณะที่ทีมเยือนแน่นอนว่านำมาโดย บรูโน่ แฟร์นันด์ส เจ้าของรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของ พรีเมียร์ลีก ถึง 4 เดือนภายในปี 2020 โดยที่มีนักเตะอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด หรือ ปอล ป็อกบา ที่อาจจะเป็นทีเด็ดในการทำประตูได้ (ส่วน อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล คงต้องลุ้นก่อนว่าจะลงเล่นได้รึเปล่าหลังก่อนหน้านี้เจ็บตรงเอ็นหลังหัวเข่า)
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งจุดที่อาจจะเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะก็คือเกมรับ และช่วงที่ผ่านมาแนวรับของทั้ง 2 ทีมก็มีประเด็นให้พูดถึงในระดับหนึ่ง โดย ลิเวอร์พูล ต้องพึ่งพา ฟาบินโญ่ มิดฟิลด์ชาวบราซิเลียนให้มารับบทเซนเตอร์แบ็กขัดตาทัพในช่วงที่บรรดากองหลังพร้อมใจกันเจ็บ ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้ เอริก ไบยี่ เวอร์ชั่นฟิตเต็มที่มาช่วยทีมแบบต่อเนื่อง โดยที่เขาก็จับคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กองหลังกัปตันทีมได้ดี และวันนี้เราจะมาดูตัวเลขที่น่าสนใจของทั้ง ฟาบินโญ่ และ ไบยี่ กัน เพราะพวกเขาอาจจะหยุดแนวรุกสุดโหดของฝั่งตรงข้ามจนช่วยให้ทีมเก็บ 3 แต้มมาครองได้
- ฟาบินโญ่
จะว่าไปแล้วมันก็ไม่แปลกที่ ฟาบินโญ่ จะโดนเลือกให้รับบทเซนเตอร์แบ็กชั่วคราวของ ลิเวอร์พูล ในช่วงที่ผ่านมา เพราะเขาเคยเล่นเป็นกองหลังก่อนที่จะหันมาเอาดีด้านมิดฟิลด์ตัวรับแบบเต็มตัว โดยในช่วงแรกๆ ที่อยู่กับ อาแอส โมนาโก เขาถึงขั้นเคยรับบทแบ็กขวาด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ ผลงานในเกมรับของ ฟาบินโญ่ ในช่วงที่ผ่านมาจึงถือว่าโดดเด่นชนิดที่กองหลังอาชีพบางคนยังสู้ไม่ได้ โดยตอนนี้เขาถือเป็นคนที่สกัดโดนบอลมากที่สุดของ ลิเวอร์พูล กับการเล่นเกมลีกในตอนนี้ ที่จำนวน 34 ครั้ง โดยแนวรับของ ลิเวอร์พูล ที่มีผลงานด้านนี้ตามเขามาเป็นอันดับ 2 คือ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แต่แบ็กขวาชาวอังกฤษก็ทำอย่างนั้นได้เพียง 18 หนเท่านั้น
นอกจากนี้ ฟาบินโญ่ ก็ยังเป็นคนที่อ่านเกมได้ดีจนสามารถตัดบอลแบบไม่ต้องพุ่งเสียบได้ถึง 21 ครั้ง สูงเป็นอันดับ 1 ของทีมกับการเล่นเกมระดับ พรีเมียร์ลีก ร่วมกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ด้วย โดยแนวรับคนที่มีผลงานด้านนี้ใกล้เคียงกับเขามากที่สุดก็ยังเป็น อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ทำไป 18 หน แถม ฟาบินโญ่ ก็เป็นคนที่เคลียร์บอลพ้นพื้นที่อันตรายได้ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ด้วยจำนวน 37 รอบ ทิ้งห่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กับ โจ โกเมซ ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ร่วมกันไป 9 หน
ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะเจ้าของส่วนสูง 188 เซนติเมตรยังเล่นลูกกลางอากาศได้ดีจนชนะการดวลกลางอากาศไป 32 ครั้ง สูงเป็นอันดับ 1 ของทีมในลีกประจำซีซั่นนี้ด้วย เหนือกว่า โกเมซ ถึง 11 หน และเขาก็เป็นคนที่ถวายตัวบล็อกลูกยิงของคู่ต่อสู้ได้เยอะที่สุดของทีมเท่ากับ โรเบิร์ตสัน ที่จำนวน 5 ครั้งเช่นกัน เรียกได้ว่าเขาเป็นแนวรับที่ทีมขาดไม่ได้ไปแล้ว
- เอริก ไบยี่
ถ้าจะบอกว่าการที่ ไบยี่ ฟิตเต็มถังจนเล่นให้ทีมได้หลายนัดติดต่อกันตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม ที่ผ่านมา มันเป็นเหมือนของขวัญจากซานตาคลอสสำหรับเหล่าแฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ไม่ถือว่าผิดอะไรเลย เพราะเหล่า "เร้ด อาร์มี่" เชื่อกันมาโดยตลอดว่าดาวเตะชาวไอวอรี่โคสต์มีฝีเท้าที่ดีในระดับหนึ่งอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
ทั้งนี้ แม้ว่าฤดูกาลนี้จะเพิ่งได้ลงเล่นในลีกไปเพียง 6 นัด แต่ ไบยี่ ก็เป็นคนที่ตัดบอลแบบไม่ต้องพุ่งเสียบในลีกได้มากเป็นอันดับ 4 ของทีมที่จำนวน 14 ครั้ง มากกว่าวิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่ได้ลงเล่นเยอะกว่าเขา 5 หน ขณะที่เขาก็กดดันให้คู่แข่งเสียบอลได้ 37.9 เปอร์เซ็นต์ สูงเป็นอันดับ 4 ของทีม เยอะกว่า ลินเดอเลิฟ 0.2 เปอร์เซ็นต์ด้วย แถมเขาก็ชนะในจังหวะดวลกลางอากาศ 58.8 เปอร์เซ็นต์ มากกว่า ลินเดอเลิฟ 0.5 เปอร์เซ็นต์ด้วย
ที่จริงความสำคัญของ ไบยี่ ต่อ แมนฯ ยูไนเต็ด มีมานานพอตัวแล้ว โดยนับตั้งแต่เริ่มฤดูกาล 2016-17 เป็นต้นมานั้น แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถชนะได้ถึง 63.4 เปอร์เซ็นต์จากการลงเล่นในทุกรายการถ้ามี ไบยี่ ลงเล่นเป็นตัวจริง แต่ถ้าไร้เงาของเขาใน 11 ตัวจริงแล้วล่ะก็ "ปีศาจแดง" ก็มีเปอร์เซ็นต์ชนะดร็อปลงมาอยู่ที่ 53.9 เปอร์เซ็นต์
- เด็กเกร็ดบอล -